หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2554

สวัสดีและขอต้อนรับทุกคนที่มาเยี่ยมชม


ยินดีต้อนรับ! ทุกคนนะจร้า
ปีใหม่มาแล้ว เราก็เลยอยากแนะนำสถานที่ทำบุญเสริมสิริมงคลแก่ชีวิตสำหรับทุกคน เพื่อเริ่มชีวิตใหม่ไปกับปีแห่งการเริ่มต้น เราเลยขอแนะนำ 9 สถานที่ในกลางกรุง สำหรับคนที่ไม่มีเวลาเดินทางตะลอนไปยังต่างจังหวัด พร้อมแล้วไปด้วยกันเลยดีกว่าค่ะ


1.วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือที่ทุกคนรู้จักในนาม "วัดพระแก้ว"






มุมยอดนิยมที่จะบันทึกภาพ
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรขณะทรงเครื่องฤดูฝน

          วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้วเป็นที่ประดับขององค์พระแก้วมรกต พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทยซึ่งเราได้มาจากเมืองเวียงจันทร์ตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีโดยพระยามหากษัตริย์ศึก (รัชกาลที่ 1) ท่านได้อัญเชิญมาประดิษฐาน ณ วัดอรุณฯเป็นวัดแรก หลังจากการสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์แล้ว ก็ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานยังวัดพระศรีรัตนศาสดารามจนถึงปัจจุบันด้วยความที่เป็นวัดหลวงและตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานจึงทำให้วัดพระแก้วไม่มีพระสงฆ์จำพรรษาดังเช่นวัดอื่นๆ ภายในวัดพระแก้วประกอบไปด้วยพระอุโบสถ ปราสาทพระเทพบิดร พระศรีรัตนเจดีย์ พระมณฑป รวมทั้งภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังเรื่อง “รามเกียรติ์ บนระเบียงรอบวัดอันเรื่องชื่อ จะว่าไปแล้ววัดพระแก้วคือวัดที่งดงามพรั่งพร้อมไปด้วยสถาปัตยกรรมไทยที่ละเอียดอ่อนละเมียดละไมอย่างแท้จริง สำหรับการนมัสการพระแก้วมรกตนั้นเราเชื่อว่าผู้ที่ได้นมัสการจะมีโชคลาภและมีแก้วแหวนเงินทองไหลมาเทมา

2.วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือ วัดโพธิ์


พระพุทธไสยาสน์วัดโพธิ์

          วัดโพธิ์ตั้งอยู่ด้านหลังของพระบรมมหาราชวังเดิมมีชื่อเต็มว่า “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ซึ่งเป็นวัดประจำราชกาลที่ 1 วัดโพธิ์ถือได้ว่าเป็นมหาลัยสำหรับประชาชนแห่งแรกของไทยที่พรั่งพร้อมไปด้วยศาสตร์ความรู้แขนงต่างๆโดยเฉพาะวิชาการแขนงนวดแผนโบราณอันโด่งดังภายในวัดโพธิ์มีสิ่งที่นาสนใจ คือ เจดีย์ 4 รัชกาลที่งดงามมากรวมทั้งพระพุทธไสยาสน์ที่ยาวเป็นอันดับสามของประเทศของประเทศไทย สำหรับการนมัสการพระพุทธไสยาสน์เราเชื่อกันว่าจะทำให้ชีวิตร่มเย็นเป็นสุขดั่งชื่อวัด


3.วัดอรุณราชวราราม หรือที่เราเรียกติดปากว่า "วัดอรุณ"


                               
          วัดอรุณราชวรารามเป็นวัดที่มีพระปรางค์องค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นที่ทุกคนรู้จักกันดี วัดอรุณฯเป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยาและเคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตเมื่อครั้งที่อัญเชิญมาจากกรุงเวียงจันทร์ มีการปฏิสังขรณ์แล้ว 2 ครั้งต่อมารัชกาลที่ 2 ได้พระราชทานนามว่า วัดอรุณราชธาราม จนถึงในสมัยรัชกาลที่ 4 ท่านทรงให้ปฏิสังขรณ์เพิ่มเติมและเปลี่ยนชื่อเป็นวัดอรุณราชวรารามมาจนถึงทุกวันนี้ เอกลักษณ์ที่สำคัญอีกอย่างของวัดอรุณฯ คือ ยักษ์ปูนปั้นขนาดใหญ่สองตนที่ตั้งอยู่หน้าซุ้มประตูคือ ทศกัณฐ์ และ สหัสเดชะซึงรู้จักในนาม ยักษ์วัดแจ้ง นั้นเอง สำหรับการนมัสการพระวัดอรุณราชวรารามนั้น เราเชื่อกันว่าจะมีชีวิตที่รุ่งโรจน์ชั่วคืนชั่ววัน


4.วัดสุทัศนเทพวราราม

ภาพบรรยากาศรอบนอก

พระพุทธตรีโลกเชษฐ์

          วัดสุทัศน์เทพวรารามตั้งอยู่บริเวณเสาชิงช้า มีจุดเด่นอยู่ที่พระอุโบสถยาวทีสุดในประเทศไทย ภายในประดิษฐานพระศรีศากยะมุนี ซึ่งเป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯอัญเชิญมาจากวัดมหาธาตุสุโขทัย ลานตรงมุมระเบียงด้านขวาวิหารประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 8 ซึ่งปั้นพระพักตร์โดยศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี ส่วนพระวรกาย นายไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์ เป็นผู้ปั้น นอกจากนี้ภายในวัดยังเต็มไปด้วยอับเฉาศิลาจีนมากมายที่แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมระหว่างไทยและจีน  สำหรับวัดสุทัศน์ฯนั้นก็เชื่อกันว่าจะทำให้มีวิสัยทัศนน์กว้างไกลและมีเสนห์แก่บุคคลทั่วไป

5.วัดระฆังโฆสิตาราม



          วัดระฆังโฆสิตารามเป็นวัดพระอารามหลวงชั้นโท และเป็นวัดโบราณตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จพระพุฒธาจารย์โต พรหมรังษี พระเถระผู้โด่งดังมาก ภายในวัดมีสิ่งที่น่าสนใจ เช่น พระอุโบสถที่มีลายหน้าบรรณเป็นรูปนารายณ์ทรงครุฑ หอพระไตรปิฎกที่เป็นเรือนไทย 3 หลังแฝด (เคยเป็นที่ประทับของรัชกาลที่ 1 มาก่อน)ภายในมีตู้พระไตปิฎกขนาดใหญ่ตั้งแต่สมัยอยุธยาตั้งอยู่ สำหรับวัดระฆังนั้น เราเชื่อกันว่าเพื่อให้มีคนนิยมยกย่อง ชื่อเสียงโด่งดัง


6.วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร


           วัดชนะสงครามเป็นพระอารามหลวงชั้นโทซึ่งแต่เดิมตั้งอยู่กลางทุ่งนาจึงมีชื่อเรียกเดิมว่า วัดกลางนา ชื่อของวัดชนะสงครามมีที่มา คือ รัชกาลที่ 1 ทรงพระราชทานนามตามเหตุการณ์ที่ทำสงครามชนะพม่าถึง 3 ครั้งโดยให้เป็นวัดพระสงฆ์ฝ่ายรามัญ เป็นเกียรติแก่ทหารมอญในกองทัพสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชนีนาถทรงอัญเชิญพระอัฐิของเจ้านายฝ่ายพระราชวังบวรสถานมงคลมาประดิษฐานไว้ในโบสถ์ นอกจากนี้ยังมีงานของช่างฝีมือชั้นเยี่ยมในรัชกาลที่ 1 แกะสลักบานประตูลายรดน้ำที่กุฏิเจ้าอาวาสอีกด้วย ใครที่มาวัดชนะสงคราม สำหรับวัดนี้เราควรไปไว้พระในโบสถ์รวมทั้งไปสักการะรูปเคารพกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทที่ตั้งอยู่ด้านหน้าวัด เพื่อเอาฤกษ์เอาชัยมีชัยชนะต่อศัครูผู้คิดร้ายต่อเราทั้งปวง



7.วัดกัลยาณมิตรวรวิหาร




          วัดกัลยาณมิตรวรวิหารเป็นวัดที่ประดิษฐานหลวงพ่อโต หรือ ซำปอกง ซึ่งตั้งอยู่ริมน้ำตามคติอยุธยาแต่เดิมที่ตั้งของวัดเป็นหมู่บ้านกุฎีจีน พระยานิกรบดินทร์ได้อุทิศบ้านและที่ดินเพื่อสร้างวัดแห่งนี้ในสมัยรัชกาลที่ 3 สำหรับการนมัสการหลวงพ่อโตนั้นเชื่อกันว่าจะมีการเดินทางที่ปลอดภัย

8. วัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร


 พระโต (องค์หลัง)-พระพุทธชินสีห์ (องค์หน้า)


          วัดบวรนิเวศวิหารเป็นพระอารามหลวงชั้นเอกฝ่ายธรรมยุตสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งในสมัยนั้นเรียกว่า วัดใหม่ ต่อมารัชกาลที่ 3 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เลื่อนสมณศักดิ์สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าฟ้ามงกุฎซึ่งผนวชจำพรรษาอยู่ ณ วัดราชาธิวาสขึ้นเสมอเจ้าคณะรอง และเชิญเสด็จให้ขึ้นครองวัดนี้ใน พ.ศ.2379 แล้วจึงได้พระราชทานนามวัดว่า วัดบวรนิเวศวิหาร ความสำคัญอีกอย่างหนึ่งของวัดบวรฯ คือ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธชินสีห์ซึ่งอัญเชิญมาจากวัดพระศรีรัตนมหาธาตุจังหวัดพิษณุโลก สำหรับการมากราบสักการะพระพุทธชินสีห์นั้นเชื่อกันว่าจะได้พบแต่สิ่งที่ดีงาม

9.ศาลหลักเมือง




                                                        ภาพบรรยากาศยามค่ำคืนสวยงาม แปลกตา

          ศาลหลักเมืองคือ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ตรงข้ามวัดพระแก้ว บริเวณศาลหลักเมืองนี้จะมีศาลอยู่สองศาล คือ ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง และศาลเทพารักษ์ ซึ่งรัชกาลที่ 1 ได้โปรดเกล้ากระทำพิธียกเสาหลักเมืองเพื่อความเป็นสิริมงคลเมื่อมีการสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นมา สำหรับศาลหลักเมือง เราเชื่อกันว่าหากได้ไปไหว้สักการะบูชาแล้วจะเป็นการตัดเคราะห์ต่อชะตา เสริมวาสนาบารมี
 
เป็นอย่างไรกันบ้างค่ะ สำหรับเก้าสถานที่ที่ได้มาแนะนำกันวันนี้ รับรองค่ะว่าวันเดียวสามารถตะลอน ร่อนไปได้ครบอย่างแน่นอน หากมีการวางแผนการเดินทางและการใช้เวลาในแต่ละสถานที่อย่างเหมาะสม แต่ถ้าหากใครยังนึกไม่ออกว่าจะไปอย่างไรให้วันเดียวจบหรือม้วนเดียวจบไม่ต้องห่วงค่ะ เดวป้าจะนำโปรแกรมการเดินทางอย่างง่ายๆๆ มาเพิ่มให้แล้วลองเดินทางตามป้าดูนะค่ะมันจะไม่ย้อนกลับไปมาเสียค่ารถมากมายนัก หรือถ้าหากใครมีไอเดียแนวคิดใหม่อะไรก็มาแนะนำเพิ่มได้น่ะค่ะ ยินดีรับสิ่งแปลกใหม่เสมอ ทำบุญมาเก้าที่หากยังจุใจ ไม่อิ่มบุญพอ เดวคราวหน้าป้าจะพาไปต่างจังหวัดบ้างค่ะ เปลี่ยนบรรยากาศกัน โปรดติดตามต่อไป.........

ขอบคุณค่ะ
   ป้าจิ๊

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น